เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ พ.ย. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระนะ หมดกาลกฐินด้วย กาลกฐิน เห็นไหม ถึงคราวยุคที่เราได้ทำบุญเป็นยุค เป็นคราว หมดคราวแล้ว ถ้ามีครูบาอาจารย์อยู่ก็เหมือนกัน ในคราวของเราถ้ามีโอกาส มีครูบาอาจารย์ มีผู้นำ เราทำสิ่งใดเราทำด้วยความถูกต้องดีงาม ถ้าขาดผู้นำทำสิ่งใดก็ละล้าละลังๆ ภาวะของผู้นำ ถ้าภาวะผู้นำ ผู้นำที่สั่งสอนไว้ แล้วผู้ที่ได้นิสัย ได้นิสัยคือได้ฝึกหัดไว้ ถ้าฝึกหัดไว้มันก็มีหลักมีเกณฑ์ ถ้าไม่ได้ฝึกหัดไว้นะ ดูสิเมล็ดพันธุ์พืช เวลาเขาเก็บไว้ไม่ดี มันด้วยความชื้น ด้วยสิ่งที่มันเก็บรักษาไว้ไม่ดี มันไปปลูกไปเพาะใหม่มันจะไม่งอกงาม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจของเรานะเราได้อบรมมา ได้บ่มเพาะมา ถ้าเราเก็บแต่สิ่งที่ดีๆ มามันก็จะเป็นประโยชน์กับเรา แต่สิ่งที่เก็บดีๆ มามันดีของใครล่ะ? มันดีจากเปลือกภายนอกไง เวลาอ้าง อ้างครูบาอาจารย์ทั้งนั้นแหละ แต่ในหัวใจของเรามันต่อต้านไง คำว่า “ในหัวใจต่อต้าน” คือมันมองสิ่งที่เราได้เก็บมา สิ่งที่เราได้บ่มเพาะมานั้นตีความไม่ออก ตีความไม่ออก เราก็มองเป็นโลกๆ ถ้ามองโลกๆ เราก็ทำแบบโลกๆ ไง ถ้ามองแบบธรรมนะ มองแบบธรรมมันสะเทือนใจ

ถ้าสะเทือนใจ เห็นไหม เมล็ดพันธุ์ใดก็แล้วแต่ เราเก็บเรารักษาไว้ดี เวลาไปเพาะปลูกแล้วมันต้องออกเมล็ดพันธุ์อย่างนั้น ดูสิเมล็ดพันธุ์ที่ดี ปลูกแล้วจะเป็นทุเรียน เป็นเงาะ เป็นต่างๆ ถ้าเขาปลูกขึ้นมามันจะเป็นออกผลที่ดี แต่ถ้าเมล็ดพันธุ์มันไม่ดีไปปลูกที่ไหนมันก็ออกไม่ดี เมล็ดพันธุ์ที่ดี อย่างเช่นเงาะ ทุเรียนไปปลูกในที่แล้ง มันก็ไม่ออกดอกออกผล แต่มันรักษาลำต้นมันไม่ได้บางทีมันก็ตาย

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราอย่ากล้าหาญเกินไปนัก ถ้าเรากล้าหาญเกินไปนัก โดยโลกเขาบอกกัน เห็นไหม ถ้าเราแน่จริงๆ เราก็ปฏิบัติในเมืองก็ได้ ทำไมต้องอยู่ในป่าล่ะ

คำว่า “อยู่ในป่าในเขา” อยู่ในป่าในเขามันเป็นการที่ว่ามันช่วยบ่มเพาะไง อย่างเช่นเราไปเที่ยวป่าช้าๆ นี่คนเขาเที่ยวป่าช้าไปทำไม ถ้าเที่ยวป่าช้าขึ้นมา ดูสิอยู่ป่าช้า ป่าช้ามันมีแต่ความสลดสังเวชทั้งนั้นน่ะ เราไปป่าช้าทำไม เราไปป่าช้าดูว่าหัวใจเรามันดิ้นรนไหมล่ะ แต่ถ้าเราอยู่ในเมือง เห็นไหม ดูสิคนกลัวผีๆ ถ้าอยู่ในที่สว่าง อยู่ในที่ชุมชนมันไม่กลัวผี แต่ถ้ามันอยู่คนเดียวมันกลัวผีไง

ไปเที่ยวป่าช้าก็เหมือนกันเป็นสิ่งที่โลกเขาไม่ต้องการ ชัยภูมิที่จะรบกับตัวเองควรจะเป็นแบบนั้น ถ้าชัยภูมิที่จะรบตัวเองมันไม่มีที่พึ่งที่อาศัย มันจะเข้าสู่ใจของเรา ถ้าคนที่มีสติปัญญา เวลาไปอยู่ที่กลัวๆ ไปอยู่ที่มันสลดสังเวช เขาจะระลึกถึงพุทโธ พุทโธ พุทโธเพราะมันไม่มีที่พึ่ง เพราะสิ่งทางโลกนี้เราก็รู้เราก็เห็นหมดแล้ว แต่ถ้าเรื่องจิตวิญญาณนี่เราไม่รู้เราไม่เห็น ไม่รู้ว่าใครจะมาทำร้ายเราได้ขนาดไหน เราต้องหาที่พึ่งของเราเพราะมันกลัวไง จิตใต้สำนึกมันกลัว ทีนี้สิ่งที่กลัว นี่ชัยภูมิที่ควรจะฝึก ควรจะประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าประพฤติปฏิบัติของเรา เห็นไหม สิ่งนั้นมันจะเป็นประโยชน์กับเรา

แต่เวลาเราฟังมา เห็นไหม นี่ให้เที่ยวธุดงค์ ธุดงค์แล้วจะไปที่ไหนล่ะ ธุดงค์เราก็ดันทุรังกันไป ถ้าดันทุรังไปมันจะได้สิ่งใดเป็นประโยชน์กับเราล่ะ เมล็ดพันธุ์ที่รักษาที่ดี สิ่งแวดล้อมก็ต้องดีด้วย ถ้าสิ่งแวดล้อมมันดี ในอากาศที่ดี ในแหล่งความชุ่มชื้นที่ดี ในดินที่ดี นี่เมล็ดพันธุ์นั้นจะเจริญงอกงามขึ้นมามาก เราจะแสวงหาสิ่งนั้นกัน แสวงหาสิ่งที่เราจะเพาะพันธุ์ของเรา เพาะคุณงามความดีของเรา

เวลาเราปฏิบัติของเรา เห็นไหม หน่อแห่งพุทธะ หน่อแห่งพุทธะเราไปหากันที่ไหน

หลวงตาท่านพูดถึง เวลาหลวงปู่มั่นท่านไปถึงหนองอ้อ นี่เขาไปหาหนองอ้อๆ กัน ไปหากันที่ไหน? หนองอ้อมันอ้อขึ้นมาจากหัวใจ ถ้ามันอ้อขึ้นมาจากหัวใจ หัวใจมันอ๋อ! ขึ้นมานี่มันเข้าใจได้หมดเลย แต่ถ้ามันจะแสวงหาหนองอ้อๆ ไปหาข้างนอกไง ไปหาหนองอ้อ ไปหาแหล่งน้ำหรือ ไปหาคลอง หาหนองน้ำหรือ...ไปหาหนองน้ำมันก็เป็นหนองน้ำ แต่คำว่าหนองอ้อๆ ท่านหนองอ้อ อ้อเข้ามาที่ใจนี้ แต่เราตีความของเราว่าเป็นแหล่งน้ำ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจะหาหน่อพุทธะ เราก็จะแสวงหาสิ่งที่เป็นพืชพันธุ์เป็นเมล็ดพันธุ์ต่างๆ เมล็ดพันธุ์อย่างนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นบุคลาธิษฐาน ย้อนกลับมา เห็นไหม ทวนกระแส เราจะเข้าไปสู่จิตของเรา ถ้าเราเข้าไปสู่จิตของเรา นี่หน่อพุทธะที่เกิดเกิดที่นี่ เกิดที่นี่เพราะเหตุใด เกิดที่นี่เพราะมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา

ถ้ามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา การกระทำนั้นมันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นปัจจัตตัง มันรู้จำเพาะตน มันรู้โดยความชัดเจนของใจนี้ ถ้าใจนี้มันรู้ของมันโดยความชัดเจนของมัน มันจะสงสัยไหม แต่ถ้าใจของเรารู้โดยความไม่ชัดเจน เวลาไปหาครูบาอาจารย์นะ “สิ่งนั้นคืออะไร สิ่งนั้นคืออะไร” สิ่งที่เรารู้ เราเห็นเรายังเข้าใจไม่ได้ นี่เราเห็นจริงไหม? จริง แต่ความเห็นนั้นไม่จริง ไม่จริงเพราะอะไร? ไม่จริงเพราะมันมีสมุทัย มันมีกิเลสของเราเจือปนกันสิ่งนี้มา เจือปน เห็นไหม มันเป็นอนุสัย มันนอนเนื่องมากับจิต มันนอนเนื่องกับความรู้สึกเรานี่ ความรู้สึกของเรา เรารู้สิ่งใดเราสงสัยไหม? เรามีความสงสัยเป็นพื้นฐาน เพราะอะไร เพราะเรามีอวิชชาอยู่ที่หัวใจ เพราะเรามีอวิชชา เราถึงมีการเกิดและการตาย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อค้นที่นี่ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาวางธรรมวินัยนี้ไว้ วางธรรมวินัยมาตั้งแต่ ต้นไม้มันมีตั้งแต่เปลือก มีกระพี้ แล้วมีแก่น ถ้ามีแก่นของมัน แก่นของศาสนาคืออริยสัจ แต่คนที่จะเทศน์อริยสัจ พระพุทธเจ้าเวลาจะเทศน์กับฆราวาส จะเทศน์อนุปุพพิกถา อนุปุพพิกถาคืออะไร? คือการให้ทาน คือให้ทาน คือรักษาศีล พอรักษาศีลนะ พอให้ทานรักษาศีลของเรา จะไปเกิดไปไหน? ไปเกิดเป็นเทวดา นี่ไปเกิดนรกสวรรค์ ให้ถือเนกขัมมะ เนกขัมมะคือเรื่องของตัวเอง เนกขัมมะคือเรื่องพรหมจรรย์

ถ้าถือพรหมจรรย์ พรหมจรรย์เราไม่ต้องการนรกสวรรค์ต่างๆ เราต้องการหัวใจของเรา เราต้องการสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้าฐานที่ตั้งแห่งการงานมันจะย้อนกลับมาที่ในหัวใจของเรา

ถ้าเราทำของเรา อนุปุพพิกถา เราทำของเราสมควรแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเทศน์อริยสัจ เทศน์ถึงแก่น ทีนี้เราทุกคนอยากได้แก่น ทุกคนอยากได้ความดีที่จะพ้นจากทุกข์ แล้วก็คาดการณ์ไปจินตนาการกันไปมันกลับไปเป็นกระพี้ไง มันกลับไปเป็นเปลือก เป็นเปลือกเพราะอะไร เป็นเปลือกเพราะเป็นความรู้สึกนึกคิดมันไม่ใช่ภาวนามยปัญญา เป็นโลกียปัญญา เพราะปัญญาอย่างนี้มันเกิดจากอวิชชา

เรามีความรู้สึกนึกคิด พอมีความรู้สึกนึกคิดมันกระทบสิ่งใดล่ะ กระทบสิ่งใดเราก็ตีความไปตามแต่ทางวิชาชีพ ใครมีการศึกษามาอย่างใด จะมองสถานการณ์ที่เราเห็นตามวิชาชีพของเรา เห็นไหม เวลาสิ่งใดที่กระทบนี่สิ่งเดียวกัน ร้อยคนก็ร้อยอย่าง ร้อยคนก็ร้อยความคิด ร้อยคนร้อยความคิด เห็นไหม นี่ไงที่ว่าสิ่งนั้นเป็นเปลือกๆ เป็นเปลือกเพราะมันเป็นความคิด มันเป็นสังขาร มันเป็นขันธ์ ๕ นี่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไง แล้วกระทบอายตนะ ถ้ากระทบ นี่ลมพัดมา ลมพัดมาผิวหนังกระทบ อุณหภูมิแตกต่างกัน บางคนพอใจ บางคนไม่พอใจ บางคนขัดข้องในหัวใจ เห็นไหม กระทบเดียวกัน ทำไมมันแตกต่างกันไป

นี่ไงบอกว่า สิ่งที่มันเป็นเปลือก มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นความรู้ของอวิชชา อวิชชาเพราะอะไร อวิชชาเพราะจิตของเรามันมีอวิชชาฝังอยู่ในหัวใจ พอฝังอยู่ในหัวใจ สิ่งต่างๆ ที่รับรู้ขึ้นมา นี่เมล็ดพันธุ์ๆ ที่เราจะแสวงหากัน เราจะปลูกหน่อพุทธะขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้าปลูกหน่อพุทธะขึ้นมาในหัวใจของเรา เรามีเมล็ดพันธุ์ เมล็ดพันธุ์คือภวาสวะ คือภพ คือฐีติจิต คือจิตของเรานี่แหละคือเมล็ดพันธุ์ แต่เมล็ดพันธุ์มันโดนครอบงำไปด้วยอะไรล่ะ มันโดนครอบงำไปด้วยอะไร? มันโดนครอบงำด้วยความไม่รู้ไง ด้วยพญามาร ด้วยสมุทัยไง

ในเมื่อมีสมุทัย สมุทัยความไม่รู้มันก็ตีค่าไปตามความไม่รู้ของมัน พอความไม่รู้ของมัน เราพิจารณามา เห็นไหม นี่ครูบาอาจารย์บ่มเพาะเรามา ครูบาอาจารย์บ่มเพาะเรามา ถ้าครูบาอาจารย์บ่มเพาะเรามา ถ้าเราตีความสิ่งนั้น เข้าใจสิ่งนั้น ถ้าไม่เข้าใจสิ่งนั้นเราต้องพยายามทำหัวใจของเราให้มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาแล้วเราจะเข้าใจสิ่งนั้น

ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งนั้นเราอ้างคำพูด คำพูดทุกคนอ้างได้หมดแหละ เวลาเราอ้าง เห็นไหม พุทธพจน์ๆ ทุกคนพูดพุทธพจน์หมดนะ แต่ถามกลับไปที่ในหัวใจของบุคคลคนนั้นว่าทุกข์ไหม...นี่พุทธพจน์สอนอย่างนั้น ทำไมเราไม่เข้าใจธรรมะตามอย่างนั้นล่ะ เราเข้าใจไม่ได้ เราเข้าใจไม่ได้เพราะจิตของเรามันไม่เปิด มันไม่ยอมรับหรอก แต่สิ่งที่เราไปศึกษามาศึกษาเพราะอะไร ศึกษาเพราะมีศรัทธา มีศรัทธาความเชื่อเราก็ศึกษาของเรามา ศึกษามาแล้วมันเข้ามานี่มันเป็นธรรมหรือยังล่ะ? มันเป็นธรรม เป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลก ปัญญาของการศึกษา ศึกษานี่เป็นทฤษฎี เห็นไหม ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ศึกษาปริยัติมาเราต้องปฏิบัติ เราทิ้งทฤษฎีแล้วเราต้องทำให้เกิดความจริงขึ้นมา นี้เกิดทำความจริงขึ้นมา ทำความจริงขึ้นมาทำโดยความถูกต้องชอบธรรมไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ โดยชอบไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ขึ้นมา อาฬารดาบส อุทกดาบสบอกว่ามีความรู้เสมอเรา เป็นศาสดาได้เหมือนเรา สอนได้เหมือนกัน ทุกคนยกย่องเจ้าชายสิทธัตถะมหาศาล หลายสำนักมากยกย่องเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นไหม นี่ไม่ชอบ ไม่ชอบเพราะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจะยกย่องขนาดไหน แต่จิตใจเรายังมีทุกข์ จิตใจเรามีอวิชชาครอบงำใจเราอยู่ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธ

เวลาปฏิเสธ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมาแสวงหาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง นี่ระลึกถึงตั้งแต่เป็นราชกุมาร เป็นราชกุมารอยู่ที่โคนต้นหว้า กำหนดลมหายใจเข้า-ออก เพราะมันยังไม่มีใครสอน เขาสอนเขาก็สอนกันไป ฌานสมาบัติเขาก็สอนกันไป ฌานสมาบัติเป็นฌานสมาบัติ เราควบคุมไม่ได้ พอควบคุมไม่ได้ เพราะฌานสมาบัติมีกำลังของมัน รู้วาระจิต อภิญญา ๖ มันรู้ไปหมด รู้ส่งออกไง เราจะหาหน่อพุทธะ แต่เราไปดูเรือกสวนไร่นาของคนอื่น แล้วหน่อพุทธะของเราอยู่ที่ไหนล่ะ

นี่เราย้อนกลับมานะ ทำมาจนสิ้น นี่ครูบาอาจารย์ต่างๆ เจ้าลัทธิต่างๆ ไปศึกษากับเขามาจนหมดแล้วล่ะ สุดท้ายก็กลับมาอานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าออก เห็นไหม ตั้งแต่ระลึกถึงราชกุมารนั้น พอจิตมันสงบระงับเข้ามา นี่โดยข้อเท็จจริงของมัน เห็นไหม ถ้าจิตสงบเข้าไปแล้ว จิตสงบเป็นตัวของมันเอง จิตเป็นตัวของมันเอง มันจะรู้จักตัวของมันเอง ถ้ารู้จักตัวของมันเอง นี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ เพราะจิตดวงนี้ได้สร้างบุญกุศล ได้เวียนตายเวียนเกิด ได้สร้างสิ่งสะสมมาในใจ ข้อมูลมันสะสมมาในใจ พอจิตสงบเข้าไปสู่ข้อมูลในใจ เข้าสู่ข้อมูลในใจมันก็แสดงตัวออกมาโดยธรรมชาติของมัน เห็นไหม

แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีบารมี นี่ตามดูไม่มีที่สิ้นสุด บุพเพนิวาสานุสติญาณไม่มีที่สิ้นสุด ดึงกลับมา ไม่ตามข้อมูลนั้นไป ไม่ตามสิ่งที่หัวใจมันเกิดข้อมูล ไม่ตามข้อมูลในใจของเราไป ไม่ตามข้อมูลในใจ นี่ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาจิตสงบมันลึกเข้าไป ถ้าลึกเข้าไปยังมีอวิชชาอยู่ ยังมีความไม่รู้อยู่ มันจุตูปปาตญาณ มันต้องไปเกิดอีก สัตว์โลกเขาเกิดมาทั่วโลกดินแดน จิตนี้ก็ต้องเกิดเหมือนกัน นี่เวลาไปเกิด ไปเกิดสิ่งใด ถ้ามันมีเหตุมีผลของมัน มันก็ต้องไปเกิดตามข้อเท็จจริงของมัน เห็นไหม นี่ดึงกลับมา ดึงกลับมาคือดึงกลับมาสู่สัมมาสมาธิ ดึงกลับมาสู่ฐีติจิต นี่หน่อพุทธะ หน่อพุทธะดึงกลับมาที่ใจของตัวเอง

เวลาใจของตัวเองมันพิจารณาของมัน เห็นไหม นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นปัจจุบันนั้น เวลาความรู้สึกนึกคิด ความคิดของเรา ดูสิพลังงานคือตัวจิต ตัวจิตเวลามันสั่งไป ความคิดเราสั่งไปที่สมอง ดูสิสมองมันจะไปได้เร็วมาก ดูสิพูดอยู่นี่ลิ้นมันพันๆ อยู่นี่มันเพราะอะไรล่ะ ใครสั่งมัน? สิ่งที่สั่งมัน เห็นไหม นี่เวลาจิตย้อนกลับเข้าไปเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันมันไม่เคลื่อนออกไป มันเป็นปัจจุบัน อาสวักขยญาณเกิดขึ้นมาระดับนั้น

ถ้าอาสวักขยญาณเกิดขึ้นมาจากฐีติจิต อวิชชาเกิดมาจากอะไร? เราบอกอวิชชาคือความไม่รู้ อวิชชามันเกิดมาจากอะไร อวิชชามันเกิดที่ไหน ความไม่รู้มันเกิดที่ไหน มันเกิดที่ไหน แล้วมันตั้งอยู่ที่ไหน แล้วมันหลอกใคร นี่อาสวักขยญาณเข้าไป เข้าไปพลิกฟ้าคว่ำดิน พลิกฟ้าคว่ำดินฐีติจิตอันนี้ พลิกฟ้าคว่ำดินนี่ฆ่าพญามารทั้งสิ้น อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาทั้งหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา นี่หน่อของพุทธะ แล้วพุทธะเกิดที่ไหน? เกิดที่กลางหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดที่ฐีติจิต

ในศาสนาพุทธเราบอกว่าสิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม ชีวะ ชีวิตนี้มีค่ามาก มีค่าที่ไหน? มีค่าที่หัวใจนะ ดูสิเวลาคนพิการ เขาพิการสิ่งใดก็แล้วแต่ แต่ความรู้สึกนึกคิดเขาพร้อมอยู่นะ แต่ร่างกายของเขาพิการ นี่เพราะอะไร เพราะมันมีหัวใจไง หัวใจนี้สำคัญ พิการหรือคนปกติภาวนาได้เหมือนกัน เพราะเวลามันพ้น มันพ้นที่จิต มันไม่ได้พ้นที่ร่างกายนี้ มันพ้นที่จิต จิตนี้มันพ้นได้

ถ้าจิตมันไม่พ้นไป เวลาตายไปชาตินี้ที่ได้สร้างมานี้มันก็จะสะสมกับจิตนี้ไป เพราะชีวิตหนึ่งทั้งชีวิตนี้มันได้ทำคุณงามความดีมา ทำชั่วมามันก็ซับลงไปที่จิตนี้ แล้วจิตนี้ก็ตายไป สิ่งที่เราทำชั่วมันซับลงที่นั่น เพราะว่าอะไร เพราะ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ นี่สิ่งที่ว่าสัญญาๆ สัญญาที่เราทำกันอยู่นี่มันเป็นสัญญากระทบในชาติปัจจุบันนี้ เวลามันย่อยสลายลงไปแล้ว นี่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ อย่างหยาบ ขันธ์ ๕ อย่างละเอียด ปัจจยาการที่มันละเอียดลึกซึ้ง นี่ปฏิสนธิจิต จิตที่มันปฏิสนธิวิญญาณอันนั้น มันจะซับลงไปที่นั่น

ถ้าซับลงไปที่นั่น สิ่งทำดีทำชั่วมันซับลงที่นั่นหมด ใครเป็นคนทำดีทำชั่วมันจะซับลงที่ใจตัวเองหมด แล้วถ้าใครภาวนาขึ้นมา เกิดปฏิภาณไหวพริบขึ้นมา ปัญญาเกิดที่นั่นหมด ถ้าที่นั่นเกิดขึ้นมา เห็นไหม คนเราเกิดมาเวียนตายเวียนเกิด บางคนเกิดมานี่ไบรท์มากเลย เพราะอะไร เพราะเขาทำของเขามา บางคนเกิดมาพ่อแม่อยากให้ฉลาด แต่เขาก็เป็นของเขา

นี่หน่อพุทธะมันเกิดที่นั่น ความดีความชั่วมันซับลงที่นั่น เพราะเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อสิ่งนี้แล้ว เราพยายามทำคุณงามความดีของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา โลกจะว่าเราโง่ เราไม่ทันคน เราไม่เอารัดเอาเปรียบใคร นั้นมันเรื่องของโลกพูด แต่ถ้าเป็นเรื่องของธรรมล่ะ เราเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต เคารพตัวเอง รักชีวะ รักใจของเรา เราดูแลใจของเรา ใครจะว่าโง่ฉลาดนั้นเขาว่า แต่จิตใจของเรา เราดูแลจิตใจของเรา แล้วพัฒนาจิตใจของเราเอง สุข ทุกข์ ดี ชั่ว ใจของเรารู้ ถ้าใจของเรารู้ นี่เวลาภาวนาเข้ามามันจะละเอียดเข้ามาๆ แล้วมันจะทำตัวของมันได้

สิ่งที่เราเกิดมา เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ศาสนานี้มีคุณค่ามาก แต่เวลาเราศึกษา ศึกษาในแง่มุมของใครล่ะ? ศึกษาในประเพณีวัฒนธรรมเราก็ได้ประเพณีกัน ศึกษาเข้าไปสู่จิตเราก็จะได้สู่จิตกัน ศึกษาแบบจิต แบบโลกๆ มันก็ได้อภิญญา ศึกษาแบบอริยสัจมันก็เข้าไปสู่อริยสัจ ไปทำลายอวิชชา ศึกษาไปแล้วมันเข้าไป นี่เวลาเข้าเป็นสมาธิ จิตสงบเข้าไปมันมีมิจฉาสมาธิก็มี สัมมาสมาธิก็มี เวลาปัญญาๆ ขึ้นมามิจฉาก็มี ปัญญาของกิเลส กิเลสมันหลอกใช้ไง กิเลสมันพลิกธรรมะให้เข้ามาทำลายเรา เรายังไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้กิเลสมันเอาธรรมะมาอ้างอิง นี่นิพพาน สิ้นกิเลสหมดแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เห็นไหม กิเลสมันเอามาหลอกเราก็ได้ นี่ปัญญาๆ มิจฉาก็มี สัมมาก็มี

ฉะนั้น เรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะคอยชี้คอยแนะ คอยชี้คอยแนะ ถ้าจะเป็นครูบาอาจารย์ของคนมันต้องผ่านประสบการณ์ของมันมา จิตนี้ได้ผ่านวิกฤติ วิกฤตินะ นี่ที่ครูบาอาจารย์บอกว่าธรรมะอยู่ฟากตายๆ เวลาฟากตาย เวลาถึงที่สุดแล้วมันเอาความตายมาหลอก เอ็งต้องตาย เอ็งต้องตาย แต่ถ้าคนมีสตินะ ขอดูว่าอะไรตายก่อน สิ่งใดในใจนี่อะไรตายก่อน มันมีอะไรตาย ถ้ามีสติว่าอะไรจะตายหรือไม่ตาย สติมันสมบูรณ์นี่ตายไม่มีหรอก แต่เวลามันหลอกนะ ตายๆๆ เราก็เลิก พอตายเราก็กลัวตาย เราก็ปล่อยวาง กิเลสมันก็ยิ้ม นี่เอาความตายมาต่อรองกับเรา

แต่ถ้าเวลาอะไรจะตายก่อน ขอดูว่าอะไรตายก่อน เวลาตายนี่สิ่งใดออกจากร่างกายนี้ไปก่อน ถ้าสติมันทันอย่างนี้มันจะตายไปไหนเพราะจิตมันรู้ เพราะตัวจิตมันจะเกิดจะตายก็ตัวมันนั่นแหละ แล้วตัวมันคิดได้ขนาดนี้มันจะตายไหม? ที่มันจะตายเพราะมันเผลอไง เวลามันสลบ มันช็อกนั่นแหละมันไม่มีสติ นั่นแหละมันตาย ถ้ามีสติมันจะตายไปที่ไหน ถ้ามันไม่ตายขึ้นมาเพราะอะไร เพราะเราประพฤติปฏิบัติ เรารู้ทันของเรา

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าเรารู้จักจิตของเราแล้ว เราจะรู้จักจิตของทุกๆ คน เราจะเข้าใจโลกธาตุนี้ทั้งหมด เพราะเราเข้าใจตัวเรา เอวัง